วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับอินเตอร์เนต


ประวัติอินเทอร์เน็ต

ประวัติอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ต(Internet) คืออะไร อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่าย เดียวกันทั้งโลก หรือทั้งจักรวาล อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามา ในเครือข่าย อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายของเครือข่าย (A network of network) สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้ออกมา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมาย ของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลได้ว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน

การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต

              การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ, การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆแนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไฮไฟฟ์ และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก

จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก
ไฟล์:Worldint2008pie.png

           สัดส่วนการผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแยกตามทวีป, ที่มา:http://www.internetworldstats.com/stats.htmปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ 2.095 พันล้านคน หรือ 30.2 % ของประชากรทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือน มีนาคม 2554) โดยเมื่อเปรียบเทียบในทวีปต่างๆ พบว่าทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 44.0 % ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 384 ล้านคน
หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกับจำนวนประชากรรวม พบว่าทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนผู้ใช้ต่อประชากรสูงที่สุดคือ 78.3 % รองลงมาได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย 60.1 % และ ทวีปยุโรป คิดเป็น 58.3 % ตามลำดับ

                อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยการเชื่อมต่อมินิคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย แต่ในครั้งนั้นยังเป็นการ เชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้าและไม่เป็นการถาวร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าด้วยกันเรียกว่า "เครือข่ายไทยสาร"
การให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ เดือน มีนาคม พ.ศ. 2538 โดยความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยให้บริการในนาม บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์รายแรกของประเทศไทย [1]
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ ปี 2534 (30คน) ปี 2535 (200 คน) ปี 2536 (8,000 คน) ปี 2537 (23,000 คน) ... ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2551 จากจำนวนประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปประมาณ 59.97 ล้านคน พบว่า มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 16.99 ล้านคน คิดเป็น ร้อยละ 28.2 และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 10.96 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 18.2 [2]
อินเทอร์เน็ตแบนด์วิทปัจจุบัน (มกราคม 2553) ประเทศไทยมีความกว้างช่องสัญญาณ (Internet Bandwidth) ภายในประเทศ 110 Gbps และระหว่างประเทศ 110 Gbps [3]

ดูเพิ่ม
หน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น










 
ประวัติ
บมจ.อสมท ได้เริ่มจัดตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งเล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดให้มีการบริการออกอากาศวิทยุและโทรทัศน์ขึ้นในประเทศไทย โดยผู้นำรัฐบาลได้เสนอจัดตั้งโครงการที่ชื่อว่า "โครงการจัดตั้งวิทยุโทรภาพ" ต่อที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีและเหล่าข้าราชการของกรมประชาสัมพันธ์ ได้เลี่ยงไปจัดตั้งเป็นบริษัทที่มีชื่อว่า บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เมื่อวันที่10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 (ซึ่งในความจริงแล้วควรจะให้หน่วยงานราชการจัดตั้งสถานีเอง) ต่อมาในภายหลัง บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด ประสบปัญหาในการดำเนินกิจการ รัฐบาลสมัยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงได้มีมติให้ยุบเลิกกิจการเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 และได้มีการตรา พระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) พ.ศ. 2520 ขึ้น โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. 2496เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2520 เพื่อดำเนินการจัดตั้ง องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประกอบกิจการสื่อสารมวลชน และกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือต่อเนื่อง หรือใกล้เคียง กับกิจการสื่อสารมวลชน ทั้งภายใน และภายนอกราชอาณาจักร และให้โอนพนักงาน และลูกจ้าง ของบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด เข้ามาเป็นพนักงานขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งรับโอนกิจการวิทยุและโทรทัศน์ของบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด มาดำเนินการต่อ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2520 อ.ส.ม.ท. ได้ก่อตั้งสำนักข่าวไทยขึ้นมาเพื่อดำเนินงานด้านข่าวอีกหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการจัดตั้งสำนักข่าวอย่างเป็นทางการแห่งแรกของประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2532 อ.ส.ม.ท. ได้เป็นผู้มอบคลื่นความถี่ระบบเคเบิล (CATV),สัมปทานให้ภาคเอกชนเช่าสัมปทานและความถี่ และได้ร่วมดำเนินธุรกิจกับภาคเอกชนในการให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกเป็นครั้งแรกของประเทศไทยคือ ยูทีวี และ ไอบีซี ซึ่งปัจจุบันดำเนินการในนาม ทรูวิชั่นส์ ต่อมาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2547 บมจ. อสมท ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ด้วยการแปลงสภาพองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยทั้งองค์กรเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตาม พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจฯ โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600 ล้านหุ้น ในปัจจุบัน มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ โดยถือหุ้นร้อยละ 65 [1]
บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2547 และกระจายหุ้นสู่มหาชนเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 และบริษัทได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท พาโนราม่า เวิลด์ไวด์ จำกัด เป็นบริษัทย่อย เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 สำหรับผลิตรายการและสารคดีให้กับ บมจ.อสมท, หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เพื่อเผยแพร่หรือขายให้กับสถานีโทรทัศน์ทั้งในและต่างประเทศ
 
 
 
 

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประชาคมอาเซียนกับการศึกษา

กำเนิดอาเซียน             อาเซียนมีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ได้ถูกยกเลิกไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ได้มีการลงนามใน "ปฏิญญากรุงเทพ" อาเซียนได้ถือ กำเนิดขึ้นโดยมี รัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ หลังจาก พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี 10 ประเทศปัจจุบัน กฎบัตรอาเซียน ได้มีการลงนามเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับ สหภาพยุโรป มากยิ่งขึ้น เขตการค้าเสรีอาเซียน ได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553 และกำลังก้าวสู่ความเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ใน ปี พ.ศ. 2558
            อาเซียนหรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพฯ ซึ่งได้ลงนามกันที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม ความเข้าใจ อันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมือง สร้างสรรค์ความ เจริญทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรม การกินดีอยู่ดีบนพื้นฐานของความเสมอภาค และ ผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก เมื่อแรกก่อตั้งในปี 2510 อาเซียนมีสมาชิก 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ในเวลาต่อมา บรูไนดารุสซาลาม ได้เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 6 เมื่อปี 2527 เวียดนาม เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 7 ในปี 2538 ลาว  และ พม่า เข้าเป็นสมาชิกพร้อมกันเมื่อปี 2540 และ กัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกล่าสุดเมื่อปี 2542 ทำให้ในปัจจุบันอาเซียนมีสมาชิกรวมทั้งหมด 10 ประเทศ สถานการณ์ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เปลี่ยนผ่านจากสภาวะแห่งความตึงเครียด และการเผชิญหน้าในยุค สงครามเย็น มาสู่ความมีเสถียรภาพ ความมั่นคงและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในปัจจุบัน ซึ่งทำให้อาเซียนกลาย เป็นภูมิภาค ที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และเป็นตัวอย่างของการรวมตัวของกลุ่มประเทศ ที่มีพลังต่อรอง ในเวทีการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ความก้าวหน้าของอาเซียนมีปัจจัยสำคัญจาก ความไว้ใจกันระหว่าง รัฐสมาชิก อันก่อให้เกิดบรรยากาศที่สร้างสรรค์และเอื้อต่อการเพิ่มพูน ความร่วมมือระหว่างกัน ไม่นานมานี้ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายให้ภายในปี 2558 อาเซียนสามารถรวมตัวกันเป็น “ประชาคมอาเซียน” ทั้งในแง่การเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม โดยยึดประโยชน์สุขของ ประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นศูนย์กลาง นอกจากการเป็นสมาชิกก่อตั้งของอาเซียนแล้ว ตั้งแต่เดือน กรกฎาคมของปีที่แล้วจนถึงสิ้นปีนี้ ไทยยังดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนอีกด้วย โดยในฐานะประธานอาเซียน ไทยมีโอกาสเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกเราได้จัดไปแล้วเมื่อเดือน
กุมภาพันธ์ที่ อ. ชะอำ และ อ. หัวหิน และเรากำลังจะจัดอีกครั้งระหว่าง วันที่ 23-25 ตุลาคม ศกนี้ นอกจากนี้ การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย ในช่วงหนึ่งปีครึ่งนี้ยังเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่อาเซียนมีผู้บริหาร สำนักเลขาธิการ เป็นคนไทย ซึ่งก็คือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี เป็นคนไทยคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งในองค์กรนี้ โดยคนไทยคนแรกคือ แผน วรรณเมธี (2532-2536)  (TOP)




ภูมิหลัง

เมื่อเดือนธันวาคม 2540 ผู้นำอาเซียนได้รับรองเอกสาร วิสัยทัศน์อาเซียน 2020  เพื่อกำหนดเป้าหมายว่า
ภายในปีค.ศ. 2020 (2563) อาเซียนจะเป็น
1) วงสมานฉันท์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - A Concert of Southeast Asian Nations
2) หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีพลวัต - A Partnership in Dynamic Development 
3) มุ่งปฏิสัมพันธ์กับประเทศภายนอก - An Outward-Looking ASEAN
4) ชุมชนแห่งสังคมที่เอื้ออาทร - A Community of Caring Societies
ในการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคม 2546 ที่บาหลี ผู้นำอาเซียนได้ตอบสนองต่อการบรรลุ
วิสัยทัศน์ อาเซียนเพิ่มเติม โดยได้ลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) เห็นชอบให้มีการจัดตั้ง ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ประชาคมอาเซียนนี้จะประกอบด้วย 3 เสาหลัก (pillars) ได้แก่ ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community–ASC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) และประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community-ASCC) ต่อมา ในระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2547 ที่เวียงจันทน์ ผู้นำอาเซียนได้รับรองและลงนามเอกสารสำคัญที่จะวางกรอบความร่วมมือเพื่อบรรลุการ ประชาคมอาเซียนต่อไป ได้แก่  1) แผนปฏิบัติการของประชาคมความมั่นคงอาเซียน
2) กรอบความตกลงว่าด้วยสินค้าสำคัญซึ่งจะช่วยเร่งรัดความร่วมมือด้านสินค้าและบริการ 11 สาขา
(Wood-based products and automotives, Rubber-based products and textiles and apparels, Agro-based products and fisheries, Electronics, e-ASEAN and healthcare, Air Travel and tourism) ภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553)
3) แผนปฏิบัติการประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน
ในระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 10 ผู้นำอาเซียนยังได้รับรอง แผนปฏิบัติการเวียงจันทน์
(Vientiane Action Programme - VAP)
เป็นแผนดำเนินความร่วมมือในช่วงปี พ.ศ. 254 7- 2553
โดยได้กำหนดแนวคิดหลักหรือ Theme ของแผนปฏิบัติการฯ ไว้ว่า “Towards shared prosperity destiny in an integrated, peaceful and caring ASEAN Community” VAP จึงเท่ากับเป็นการจัดลำดับความสำคัญของ แผนงานและโครงการของ ประชาคมอาเซียนที่จะเร่งปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตาม theme ดังกล่าว ที่ประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 10 เห็นชอบให้จัดตั้ง กองทุนเพื่อการพัฒนาอาเซียน (ASEAN Development Fund) โดยแปลงจากกองทุนอาเซียนเดิม เพื่อนำมาเป็นแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินกิจกรรมและโครงการต่างๆ ของแผน ปฏิบัติการเวียงจันทน์ (VAP) อันจะเป็นการส่งเสริมการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน และเป็นกองทุนที่สามารถ ระดมความสนับสนุนทั้งจากประเทศ คู่เจรจา และแหล่งทุนอื่นๆ ซึ่งขณะนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนกำลังอยู่ใน ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองทุนดังกล่าว ได้ภายในปีนี้ โดยจะมีการลงนามความตกลง จัดตั้งกองทุนดังกล่าว ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 38 ในเดือนกรกฎาคม 2548      



ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC)








         ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กำหนดวัตถุประสงค์ตามวิสัยทัศน์อาเซียน 2020 ที่จะให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และสามารถแข่งขัน กับภูมิภาคอื่นๆ ได้ โดย
(1) มุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของสินค้า การบริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และ การลดปัญหา ความยากจนและความ เหลื่อมล้ำ ทางสังคมภายในปี ค.ศ. 2020
(2) มุ่งที่จะจัดตั้งให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวและเป็นฐานการผลิต โดยจะริเริ่มกลไกและมาตรการใหม่ๆ ในการปฏิบัติตามข้อริเริ่มทางเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้ว
(3) ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม หรือ CLMV) เพื่อลดช่องว่างของระดับการพัฒนา และช่วยให้ ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมในกระบวนการรวมตัวทาง เศรษฐกิจของอาเซียน
(4) ส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาค ตลาดการเงิน และตลาดเงินทุน การประกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม กรอบความร่วมมือด้านกฎหมาย การพัฒนาความร่วมมือด้าน การเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ โดยการยกระดับการ ศึกษาและการพัฒนาฝีมือ
  • ในการนี้ ผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้เร่งรัดการรวมกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญจำนวน 11 สาขา ให้เป็น สาขานำร่อง ได้แก่ สินค้าเกษตร / สินค้าประมง / ผลิตภัณฑ์ไม้ / ผลิตภัณฑ์ยาง / สิ่งทอ / ยานยนต์ / อิเล็กทรอนิกส์ / เทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) / การบริการด้านสุขภาพ, ท่องเที่ยวและการขนส่ง ทางอากาศ (การบิน) ซึ่งอาเซียนได้ดำเนินการดังนี้
  • กำหนดให้ประเทศสมาชิกรับผิดชอบในการจัดทำ Roadmap ในแต่ละสาขา ได้แก่
         * ไทย :
    ท่องเที่ยวและและการขนส่งทางอากาศ (การบิน)
    •  พม่า : สินค้าเกษตรและสินค้าประมง
    •  อินโดนีเซีย : ยานยนต์และผลิตภัณฑ์ไม้
    •  มาเลเซีย : ยางและสิ่งทอ
    •  ฟิลิปปินส ์: อิเล็กทรอนิกส์
    •  สิงคโปร์ : เทคโนโลยีสารสนเทศ และการบริการด้านสุขภาพ
  • จัดทำกรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสินค้าและบริการ 11 สาขาดังกล่าว คือ Framework
    Agreement for the Integration of the Priority Sectors และพิธีสาร สำหรับแต่ละสาขา คือ
    ASEAN Sectoral Integration Protocol อีก 11 ฉบับ เพื่อกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการ ร่วมที่จะใช้ในการรวมกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญทุกสาขา โดยมีมาตรการสำคัญคือ
    การเปิดเสรีการค้า สินค้า การค้าบริการ การลงทุน การอำนวยความสะดวกด้าน การค้า และ การลงทุน การส่งเสริมการค้า และการลงทุน และความร่วมมือ ในด้านอื่นๆ 
  • กำหนดให้ปี ค.ศ. 2010 เป็น deadline สำหรับการรวมตัวของสินค้าและบริการ 11 สาขา ดังกล่าว โดยให้มีการผ่อนปรนสำหรับประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม
\




แผนปฏิบัติการของอาเซียน กิจกรรมของอาเซียนยุคหลังสงครามเย็นได้ลดทอนความสนใจด้านการเมืองและความมั่นคง ในแผน ปฏิบัติการฮานอย ปี 2541 หลังจากการประกาศ “วิสัยอาเซียน 2020” เป็นการรองรับเขตการเสรีอาเซียน และแยกการหารือด้าน การเมือง และความมั่นคงในภูมิภาคเป็นอีกเวที หลังจากปฏิญญาบาหลี ปี 2545 ที่ให้สร้าง ประชาอาเซียนที่ ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และความร่วมมือ ด้านสังคมวัฒนธรรม จึงได้บรรจุประเด็นด้านการเมือง และความมั่นคงกลับเข้ามาในแผนปฏิบัติการเวียงจันทร์ ปี 2547

ประชาคมที่ยึดถือคุณค่าและบรรทัดฐานร่วมกันบนพื้นฐานของกฏกติกา

ความร่วมมือในการพัฒนาทางการเมืองของอาเซียนมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตย
เพิ่มธรรมาภิบาลและหลักนิติธรรม

1. ความร่วมมือในการพัฒนาการเมือง
1.1 ส่งเสริมความเข้าใจและการให้คุณค่าแก่ระบบการเมือง วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของรัฐภาคีอาเซียน
1.2 วางพื้นฐานสำหรับกรอบเชิงสถาบันเพื่อเอื้ออำนวยให้เกิดการไหลเวียนข้อมูลอย่างเสรีเพื่อการสนับสนุนและช่วยเหลือ
ซึ่งกันและกัน ในระหว่างรัฐภาคีอาเซียน
1.3 ริเริ่มโครงการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในระหว่างรัฐภาคีของอาเซียนในการพัฒนายุทธศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม ระบบตุลาการและโครงสร้างพื้นฐานของกฎหมาย การบริการ สาธารณะที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และธรรมาภิบาลในภาครัฐและเอกชน
1.4 ส่งเสริมและการป้องกันสิทธิมนุษยชนและพันธกรณี
1.5 เพิ่มการมีส่วนร่วมของฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอาเซียนในการผลักดันให้มีการริเริ่มเรื่องการพัฒนาทางการเมืองของอาเซียน
1.6 การป้องกันและการต่อต้านการคอรัปชั่น
1.7 ส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค

2. การพัฒนาและแบ่งปันบรรทัดฐาน
2.1 ปรับกรอบเชิงสถาบันของอาเซียนเพื่อให้สอดคล้องกับกฎบัตรอาเซียน
2.2 ส่งเสริมให้รัฐที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีและ ความร่วมมือในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
2.3 สร้างหลักประกันว่าจะมีการดำเนินการตามปฏิญญาว่าการปฏิบัติของฝ่ายต่างๆอย่างเต็มที่เพื่อ สร้าง หลักประกันสันติภาพ และเสถียรภาพในทะเลจีนใต้
2.4 สร้างหลักประกันว่าจะมีการดำเนินการตามสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ของเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้และ แผนปฏิบัติการของสนธิสัญญานี้
2.5 ส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลอาเซียน


ประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community - ASCC)
  • ประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน  มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
    อยู่ร่วมกันในสังคมที่เอื้ออาทร ประชากรมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี ได้รับการพัฒนาในทุกด้าน และมีความมั่นคงทางสังคม (social security) โดยเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ
    (1) การพัฒนาสังคม โดยการ ยกระดับความเป็นอยู่ของผู้ด้อยโอกาส และผู้ที่อาศัยในถิ่นทุระกันดาร และส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่าง แข็งขันของกลุ่มต่างๆ ในสังคม
    (2) การพัฒนาการฝึกอบรม การศึกษาระดับพื้นฐานและสูงกว่าการพัฒนา ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสร้างงาน และการคุ้มครองทางสังคม 
    (3) การส่งเสริมความร่วมมือใน ด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ เช่นโรคเอดส์ และ โรคทางเดินหายใจ เฉียบพลันรุนแรง
    (4) การจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
    (5) การส่งเสริม การปฏิสัมพันธ์ ระหว่างนักเขียน นักคิดและศิลปินในภูมิภาค
  • แผนปฏิบัติการของประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน เน้นการดำเนินการใน 4 ประเด็นหลัก คือ 
(1) สร้างประชาคมแห่งสังคมที่เอื้ออาทร  โดยเน้นการแก้ไขปัญหาความยากจน เสริมสร้างความเสมอภาค และการพัฒนามนุษย์  อาทิ การพัฒนาสตรี เด็กและเยาวชน การส่งเสริม สวัสดิการสังคม การพัฒนาชนบทและ ขจัด ความยากจน การพัฒนาการศึกษา และสาธารณสุข และการเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์  (human security) ในด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึงการปราบปรามอาชญากรรม ข้ามชาติและการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ
(2) แก้ไขผลกระทบต่อสังคมอันเนื่องมาจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจ โดยสร้างฐานทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถแข่งขัน ได้ดีและ มีระบบการป้องกันทางสังคมที่เพียงพอ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมแรงงาน และเสริมสร้าง ความร่วมมือ ในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สวัสดิการสังคม  วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี และ สาธารณสุข (ปัญหาที่มา กับโลกาภิวัต เช่น โรคระบาด โรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ)
(3) ส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการจัดการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้อง โดยมีกลไกที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ ์สำหรับจัดการและดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม ตลอดจนการป้องกันและขจัดภัยพิบัติด้าน สิ่งแวดล้อม
(4) เสริมสร้างรากฐานที่จะนำไปสู่ประชาคมอาเซียนในปี ค.ศ.2020 ซึ่งจะเป็นภูมิภาคที่ประชาชนตระหนักถึงอัตลักษณ์ (identity) ร่วมกันของภูมิภาคท่ามกลางความ หลากหลายทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ด้วยการส่งเสริม ความเข้าใจระหว่างประชาชนในระดับและวงการต่างๆ การเรียนรู้ ประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมของ กันและกัน และ การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของกันและกัน (การส่งเสริมด้านวัฒนธรรมและสนเทศ)  





อาเซียนในปัจจุบันและทิศทางในอนาคตนับตั้งแต่การก่อตั้ง ASEAN เมื่อปี 2510 จนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าอาเซียนประสบความสำเร็จใน การบรรลุถึง เป้าหมายสำคัญๆ และ เจตนารมย์ที่กำหนดไว้ในปฏิญญากรุงเทพฯ อย่างน่าพอใจ ทั้งใน ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้านการพัฒนา ความสัมพันธ์กับโลกภายนอก ความสำเร็จประการหนึ่งน่าจะได้แก่การดำเนินการเพื่อให้ทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ้ หันหน้าเข้าหากัน และร่วมมือกัน มากขึ้นในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งการรวมตัวกัน ของประเทศ ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้กรอบ ความร่วมมือ อาเซียนกำลังพัฒนาเป็นรูปเป็น ร่างอย่างต่อเนื่อง ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม อาเซียนในวัย 33 ปี กำลังประสบกับเงื่อนไขใหม่ๆ หลายประการทั้งจากปัจจัย ภายใน และภายนอกภูมิภาคซึ่งท้าทายกระบวนการ รวมตัวและความเป็น ปึกแผ่นของ ประเทศสมาชิก และบั่นทอนความน่าเชื่อถือและบทบาท ขององค์กรอาเซียนด้วย จึงมีความ จำเป็นที่ประเทศสมาชิกจะต้อง มีความตื่นตัวและให้ความสนใจในการร่วมกันแสวงหาแนวทางในการ เผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆเหล่านี้ต่อไป
ความมั่นคงทางการเมืองในภูมิภาค
ภายหลังจากสงครามเย็นยุติลง และการแก้ไขปัญหากัมพูชา สถานการณ์ความมั่นคงทาง การเมืองใน ภูมิภาคโดย ส่วนรวม เริ่มดีขึ้นและยังคงมีแนว โน้มในทางบวกต่อไป โดยประเทศในอินโดจีนได้ เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนครบ ทุกประเทศแล้ว โดยกัมพูชาเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 10
เมื่อปี 2542 ส่วนสถานการณ์ในติมอร์ตะวันออก กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นขณะเดียวกัน อาเซียนได้ผลักดันการจัดทำเอกสารแนวทาง ปฏิบัติระดับภูมิภาคในทะเล จีนใต้ (Regional Code of Conduct on the South China Sea) ระหว่างอาเซียนกับจีนซึ่งจะช่วย สร้างความไว้เนื้อ เชื่อใจระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่ ่ประเทศนอก ภูมิภาค นอกจากนั้น อาเซียนยังคง ให้ความสนใจต่อสถานการณ์ ์ใน คาบสมุทรเกาหลี โดยล่าสุด ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้เชิญรมว.กต. เกาหลีเหนือมา เยือนไทยในช่วงการประชุม AMM ครั้งที่ 33 ในเดือน กรกฎาคม 2543 เพื่อจักได้มีโอกาส สัมผัสกับบรรยากาศ ของการประชุมและกระบวนการ ร่วมมือระดับภูมิภาค และมีโอกาส ได้พบปะกับประเทศอื่นรวมทั้ง ประเทศที่มีบทบาท เกี่ยวข้องกับ ปัญหาในคาบสมุทรเกาหลีด้วย ทั้งนี้ อาเซียนยังคงมีบทบาทนำในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือทางการเมือง และความมั่นในเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาให้เป็นกลไก ในการสร้างเสถียรภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และป้องกันมิให้เกิดปัญหา ความขัดแย้ง ในภูมิภาค ทั้งนี้ ยังได้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้สนธิ สัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) เป็นหลักในการ ดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาค อีกทั้งได้พยายามเร่งการปฏิบัติตามสนธิสัญญา เขตปลอดอาวุธ นิวเคลียร ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEANWFZ) และโน้มน้าวให้ประเทศที่มี อาวุธนิวเคลียร ์ เข้าร่วมใน สนธิสัญญาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคยังคงมีความแปรปรวนสืบเนื่องจากปัญหาในทะเลจีนใต้ ความขัดแย้ง ในคาบสมุทรเกาหลี ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ตลอดจนปัญหาภายในของบาง ประเทศ ในอาเซียน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพม่าและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อ ความมั่นคงของภูมิภาค ในขณะเดียวกัน อาเซียนยังต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายใหม่ๆ อาทิ ปัญหาข้ามชาติซึ่งทวีความ รุนแรง มากยิ่งขึ้นแล ต้อง อาศัยความ ร่วมมือ อย่างเป็นรูปธรรมในระดับภูมิภาค เพื่อแก้ไขปัญหา
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในอาเซียน
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของอาเซียนเริ่มมีเป้าหมายชัดเจนที่จะนำไปสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจ ของประเทศ ในภูมิภาค นับตั้งแต่การประชุม สุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 4 ณ สิงคโปร์ เมื่อปี 2535 มีดำริจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) นับแต่นั้นมากิจกรรมของอาเซียนได้ขยายครอบคลุมไป สู่ทุกสาขาหลักทางเศรษฐกิจ รวมทั้งในด้าน การค้า สินค้าและบริการ การลงทุน มาตรฐานอุตสาหกรรมและการเกษตร ทรัพย์สิน ทางปัญญา การขนส่ง พลังงาน และการเงิน การคลัง เป็นต้น โดยมีการกำหนดทิศทางโครงร่างและ แผนงานความร่วมมือ ตลอดจนระยะเวลาบรรลุผลที่ชัดเจน ภายใต้ วิสัยทัศน์อาเซียน ค.ศ. 2020 และแผนปฏิบัติ การฮานอย (Hanoi Plan of Action) ซึ่งกำหนดเป้าหมายที่จะให อาเซียนเป็นเขต เศรษฐกิจ ที่มีการ ไหลเวียนของสินค้า การบริการ และการลงทุนอย่าง เสรี พัฒนาการที่สำคัญๆ มีดังนี้


ทิศทางในอนาคต
เพื่อให้ ASEAN สามารถเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นและในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการ เสริมสร้าง รากฐาน แห่ง ความร่วมมือของประเทศ ในภูมิภาคในกรอบอาเซียน อาเซียนจำเป็นต้อง ผลักดันความร่วมมือในสาขาต่างๆ ให้มีความก้าวหน้าขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริง ของประชาชน จึงได้ให้ความสำคัญ ในเรื่องต่างๆ ดังนี้
เสริมสร้างบทบาทของเวทีการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงใน ภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก ให้เป็นกลไกป้องกัน แก้ไขความขัดแย้งในภูมิภาค ตลอดจนพัฒนา บทบาท และการมีส่วนร่วมของ อาเซียนในการแก้ไข ป้องกันปัญหาหรือสถานการณ์ในภูมิภาค ได้อย่างทันเหตุการณ์ ซึ่งในเรื่องนี้ ไทยได้เสนอ ให้มีการจัดตั้ง กลุ่มผู้ประสานงาน อาเซียน (ASEAN Troika) เพื่อเป็นแกนนำในการส่งเสริม ให้อาเซียนสามารถ เผชิญสิ่งท้าทายต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที
ผลักดันการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อขยายการค้าภายใน ภูมิภาคและ ชักจูงการลงทุน จากต่างชาติ ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ความตกลง ทางเศรษฐกิจของอาเซียน อย่างต่อเนื่อง และต้องมีการพิจารณาแนวทางความร่วมมือ รูปแบบใหม่ๆ ที่จะใช้เป็นพื้นฐานของความร่วมมืออาเซียน ต่อเนื่องจากที่มีการจัดตั้ง AFTA และ AIA แล้วในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งในเรื่องนี้ อาจรวมถึงการเปิดเสรีเต็ม รูปแบบ สำหรับสินค้าบางรายการที่อาเซียนมี ขีดความสามารถ ในการแข่งขันสูงระดับโลก (ASEAN Product Community) และการเปิดเสรีทาง พาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ภายใน อาเซียน เป็นต้น
เสริมสร้างการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศ/กลุ่มประเทศนอกภูมิภาคเพิ่มเติมจากกรอบ APEC และกับ สหภาพยุโรปในกรอบ ASEM โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกับ ประเทศในเอเชียตะวันออก ในกรอบ ASEAN+3: East Asia Cooperation ซึ่งเป็นดำริจากที่ประชุมสุดยอด ระหว่างผู้นำอาเซียน และผู้นำจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เมื่อเดือน พฤศจิกายน ศกนี้ และการพัฒนาความร่วมมือ กับเขตเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ เขตเศรษฐกิจระหว่าง ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (CER) และกลุ่มประเทศละตินอเมริกา เป็นต้น
เร่งรัดความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศลุ่มน้ำโขง โดยรณรงค์ให้ช่วงระหว่าง ปีค.ศ. 2000-2010 เป็นทศวรรษแห่งความร่วมมือ เพื่อ พัฒนาเศรษฐกิจในประเทศในลุ่มน้ำโขง เพื่อยก ระดับชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชน ในประเทศสมาชิกใหม่และสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจ ของประเทศ เหล่านี้ให้สอดคล้องกับ ตลาดของอาเซียน ทั้งนี้ โดยระดมความร่วมมือจากประเทศนอก ภูมิภาค องค์การระหว่าง ประเทศและ ภาค เอกชนด้วย
ร่วมกันเสริมสร้างโครงข่ายรองรับทางสังคม (Social Safety Nets) เพื่อเป็นมาตรการเสริมการ พัฒนาเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นการขจัดความยากจน การเพิ่มการจ้างงานที่มีผลผลิตที่สูงขึ้น และการ คุ้มครอง กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม ทั้งนี้ โดยระดมความร่วมมือและการสนับสนุนจากต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ และองค์การที่มิใช่ของ รัฐบาลด้วย
เร่งกำหนดแผนงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นการ พัฒนาขีดความ สามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อ สามารถปรับตัวเข้ากับวิทยาการสมัยใหม ่ ่และสภาพทางเศรษฐกิจตลอดจน ความต้องการของภาคธุรกิจ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ โดยการร่วมมือกับประเทศที่สามในลักษณะของ ความร่วมมือทวิภาคี ความร่วมมือ ในกรอบ เหลี่ยมเศรษฐกิจต่างๆ ตลอดจนความร่วมมือสามเส้า นอกจากนั้น ต้องมีการร่วมมือด้านการศึกษา ในระดับ ภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดทำเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน
(ASEAN University Network) เพื่อเชื่อมโยงมหาวิทยาลัยของ ภูมิภาค และการพิจารณาจัดตั้ง
มหาวิทยาลัย ASEAN Virtual University เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มของมหาวิทยาลัย และ สถาบัน วิจัยโดยใช้ อินเตอร์เน็ต และเทคโนโลยีการศึกษา ทางไกลอื่นๆ






ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของอาเซียน นับว่าเป็นผลดีต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจของประเทศเป็น อย่างมาก เนื่องจากสามารถ ต่อรอง ทางด้านทางการค้ากับประเทศสมาชิก นอกจากนี้การค้าระหว่างประเทศ สมาชิกด้วยกัน ได้ยึดหลักความถนัดในการผลิต หรือการ แบ่งประเภท อุตสาหกรรมให้ประเทศสมาชิก ทำการ ผลิตโดยไม่มีการผลิต แข่งขันกัน ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการเป็นสมาชิกกลุ่มอาเซียน ดังนี้1. ด้านการค้า ได้รับสิทธิพิเศษทางด้านการค้าด้วยการได้ลดหย่อนอัตราภาษีศุลกากร หรือ ยกเว้นภาษีที่ ประเทศไทยส่งไปขายยังประเทศ สมาชิก สำหรับสินค้าบางประเภท เช่นเดียวกับที่ประเทศสมาชิกได้รับจาก ประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงของเขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟตา (AFTA : ASEAN Free Trade Area) 2. ด้านอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับอาเซียนในการจัดตั้งโครงการอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าสำหรับ ทดแทนสินค้า ที่นำเข้าจากต่างประเทศ อาเซียน ได้เลือกอุตสาหกรรมหลักให้ประเทศสมาชิกเลือก ทำการผลิต คือ ประเทศไทยผลิตเกลือหิน และโซดาแอช อินโดนีเซียและมาเลเซียผลิตปุ๋ยยูเรีย  สิงคโปร์ผลิตเครื่องยนต์ดีเซล และฟิลิปปินส์ผลิตปุ๋ยฟอสเฟต โครงการนี้ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลง คือ ไทยเปลี่ยนเป็นผลิต แร่โพแทช สิงคโปร์ยกเลิก โครงการ ฟิลิปปินส์เปลี่ยนเป็นผลิตทองแดง แปรรูป ส่วนอินโดนีเซียและมาเลเซียยังคงผลิต ปุ๋ยยูเรียตามเดิม ซึ่งการร่วมมือนี้เป็นการร่วมมือ ระดับรัฐบาล ส่วนภาคเอกชนก็มีการร่วมมือกันในอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยการแบ่งการผลิตชิ้นส่วน รถยนต ์ตามความถนัดของแต่ละประเทศ และต่อมมามี ีโครงการ แบ่งผลิต สินค้าอุตสาหกรรม โดย ผู้ผลิตจะต้องเป็น บริษัทเอกชนอย่างน้อย 2 บริษัท จากประเทศ สมาชิกอย่างน้อย 2 ประเทศ 3. ด้านการคลังและการธนาคาร นโยบายด้านการคลังและการธนาคาร ประเทศสมาชิกได้ตกลง ร่วมมือกันในด้าน การจัดตั้งตลาดตั๋วเงิน ที่ธนาคาร รับรอง จัดตั้งบรรษัทการเงินอาเซียน จัดตั้งคณะกรรมาธิการว่าด้วยการประกันภัย แห่งอาเซียน จัดตั้งกลไกยกเว้นการเก็บภาษีและ ป้องกันการเก็บภาษี ีซ้ำซ้อน และร่วมมือ กับประชาคมยุโรปในการ จัดตั้งกองทุนร่วมเพื่อการพัฒนา ระหว่างอาเซียนกับอีอีซี4. ด้านการเกษตร อาเซียนได้มีการร่วมมือกันทางด้านการเกษตรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศสมาชิก โยบายด้านการเกษตรได้ดำเนินการไปหลายโครงการ เช่น โครงการการสำรองอาหาร เพื่อช่วยเหลือ ซึ่งกัน และกันในยาม ขาดแคลนในเวลาฉุกเฉิน โครงการจัดตั้งศูนย์วางแผนพัฒนาการเกษตรของอาเซียน โครงการ จัดการเกี่ยวกับ อาหารภายใต้ความร่วมมือของอาเซียน-ออสเตรเลีย โครงการเทคโนโลยี การประมง ภายใต้ ความร่วมมือของ อาเซียน-แคนาดา โครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้ความร่วมมือ ของอาเซียน-อีซี โครงการ จัดตั้งด่านกักกันโรคพืช และสัตว์ในภูมิภาคอาเซียน โครงการตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ไม้ป่า โครงการอนุรักษ์  และจัดการต้นน้ำลำธาร โครงการปลูก ป่า และโครงการตลาดของ ทรัพยากรป่าไม้ นอกจากนี้ยังมี โครงการอื่นที่อยู่ใน ระหว่างการเจรจาตกลงอีกมาก 5. ด้านการขนส่งและคมนาคม เป็นนโยบายที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยเฉพาะทางด้านการขนส่งทางบก การเดินเรือและการท่าเรือ การบินพลเรือน การไปรษณีย์ และโทรคมนาคม6. ด้านการเมือง ความสามัคคีระหว่างประเทศสมาชิกของอาเซียนในการแก้ปัญหาอินโดจีน ทำให้ทั่วโลกหันมา สนใจ และช่วยเหลืออินโดจีนมากขึ้น และยังช่วยแบ่งเบาภาระของประเทศไทย เกี่ยวกับปัญหาผู้อพยพอีกด้วย7. ด้านวัฒนธรรม ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิกซึ่งเป็นการส่งเสริม ความเข้าใจอันดี ต่อกันมากขึ้น    (TOP) 
                1
    

60 ปีไทยโทรทัศน์


นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน 60 ปี โทรทัศน์ไทย 35 ปี อสมท พร้อมเปิดตัว Bird eye news และระบบวิดีโอวอลล์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงาน 60 ปี ไทยโทรทัศน์ 35 ปี อสมท โดยมีการเปิดตัวการปฏิบัติงานด้วยทีมข่าว Bird eye news ที่รายงานข่าวทางอากาศ จากทีมข่าวของสำนักข่าวไทย พร้อมกับมีการนำเสนอข่าวด้วยจอภาพขนาดใหญ่และวิดีโอวอลล์ ความยาว 20 เมตร ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของโลก เพื่อเป็นการปฏิบัติงานข่าวมีความทันสมัย ที่มีกระบวนการการผลิต การจัดเก็บข้อมูลและการรายงานข่าวแบบครบวงจร พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เดินชมบูธวิวัฒนาการของ อสมท ด้วย นอกจากนี้ ภายในงานมีปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อทิศทางโทรทัศน์ไทย โดย ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ และหัวข้อทิศทางเศรษฐกิจไทย โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ซึ่งมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ขณะที่ เวลา 11.30 น. นายกรัฐมนตรี จะบันทึกเทปโทรทัศน์ กล่าวคำปราศรัยเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลและในเวลา 14.000 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อยกระดับการศึกษาระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงศึกษาธิการ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล




60 ปี ไทยโทรทัศน์ 35 ปี อสมท มีผู้เข้าร่วมงานคึกคัก อสมท 25 เม.ย. - อสมท ใช้ฤกษ์ 06.09 น. ทำพิธีบวงสรวงพระพรหม พระอู่ทอง และหลวงพ่อดำ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล รวมทั้งเกิดความรัก ความสามัคคี ก่อนจะประกอบพิธีสงฆ์ ทำบุญเลี้ยงพระที่บริเวณห้องส่ง 1 โดยมี นายสรจักร เกษมสุวรรณ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธี รวมทั้งถวายภัตตาหารแก่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมี สมเด็จพระวรรณรัตน์ วัดบวรนิเวศน์วิหาร เป็นประธานในพิธีฝ่ายสงฆ์ และพนักงาน บมจ. อสมท เข้าร่วม โอกาสนี้ นายสรจักร ยังเปิดเผยถึงอนาคตก้าวต่อไปของ บมจ. อสมท ว่า จะไม่มองเพียง 1 ปี หากจะมองยาวไป 5 - 10 ปีขึ้นไป มุ่งเป็น สังคม อุดมปัญญา และก้าวสู่ความเป็นสากลมากขึ้น และเชื่อว่าจะเทียบเท่าได้กับบีบีซี ทั้งให้สื่อเป็นเหมือนสถาบันการศึกษา ที่ต้องให้ทั้งความรู้ และสาระบันเทิงควบคู่กันไป .-สำนักข่าวไทย 






การประกอบธุรกิจ

สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์

กิจการวิทยุโทรทัศน์ ในการกำกับดูแลของ บมจ.อสมท คือ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เปลี่ยนชื่อมาจาก สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 กับ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 และ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ก่อตั้งเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 และเปลี่ยนเป็นระบบสีในปี พ.ศ. 2517 ดำเนินการออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง โดยแพร่ภาพออกอากาศจากสถานีแม่ข่าย ซึ่งตั้งอยู่ในสำนักงานใหญ่ ไปยังสถานีเครือข่ายในส่วนภูมิภาคจำนวน 35 สถานีทั่วประเทศ มีขอบเขตการให้บริการครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศประมาณ 87% และมีประชาชนอยู่ในเขตพื้นที่บริการประมาณ 88.5%

เครือข่ายโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มคอท

เครือข่ายโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มคอท เป็นอีกหนึ่งในกิจการโทรทัศน์ของ บมจ.อสมท ออกอากาศจำนวน 2 ช่องรายการ ซึ่งสามารถรับชมได้ทางทรูวิชั่นส์ ในระบบดิจิตอล โดย MCOT1 ออกอากาศทางช่อง 78 (ปัจจุบันคือช่อง 98) และ MCOT2 ออกอากาศทางช่อง 79 (ปัจจุบันคือช่อง 99 และเปลี่ยนเป็นช่องอาเซียนทีวี) ดำเนินการออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมงทั้งสองช่อง โดยออกอากาศครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนา องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ครบรอบ 30 ปี ในปี พ.ศ. 2550 โดยทั้งสองช่องรายการ ออกอากาศรายการและสาระต่าง รวมทั้งข่าวสาร การถ่ายทอดสด และกีฬาต่างๆ เป็นต้น

สถานีวิทยุโมเดิร์นเรดิโอ

กิจการวิทยุกระจายเสียง ในการกำกับดูแลของ บมจ.อสมท คือ สถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์น เรดิโอ ก่อตั้งเมื่อ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2497 ภายใต้ชื่อ สถานีวิทยุกระจายเสียง ท.ท.ท. ของ บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด ในปัจจุบันทำการส่งกระจายเสียงทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีจำนวนสถานีทั่วประเทศทั้งหมดจำนวน 62 สถานี ประกอบไปด้วย สถานีวิทยุที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวน 9 สถานี แบ่งเป็นระบบ FM 7 สถานีและระบบ AM 2 สถานี และในส่วนภูมิภาค ส่งกระจายเสียงในระบบ FM 53 สถานี มีขอบเขตการให้บริการครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศประมาณ 92.4% และมีประชาชนอยู่ในเขตพื้นที่บริการประมาณ 93.8% ในปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุญาตเพื่อทำการจัดตั้งสถานีเครือข่ายเพิ่มเติม เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการ

สำนักข่าวไทย

ดูบทความหลักที่ สำนักข่าวไทย
กิจการบริการข่าวสาร ในการกำกับดูแลของ บมจ.อสมท คือ สำนักข่าวไทย ก่อตั้งขึ้น ภายหลังการก่อตั้ง องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2520 เป็นศูนย์กลางในการผลิต รวบรวม จัดเก็บ วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยนำเสนอผ่านทางสื่อของบริษัท ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ ทีวี, เครือข่ายสถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์น เรดิโอ, สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเว็บไซต์อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ขยายความร่วมมือด้านต่างๆ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข่าวสารกับสำนักข่าว และสื่อสำคัญๆ ทั่วโลก

ธุรกิจอื่น

บมจ.อสมท มีธุรกิจย่อย ในกิจการผลิตรายการโทรทัศน์และสารคดีโทรทัศน์ คือ บริษัท พาโนรามา เวิลด์ไวด์ จำกัด ซึ่งได้จัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 โดย บมจ.อสมท มีสัดส่วนการถือหุ้น 49% นอกจากนี้ บมจ.อสมท ยังได้ร่วมดำเนินการกิจการกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ประกอบไปด้วย 2 กิจการหลักที่สำคัญคือ ร่วมกับบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (บีอีซี) ในการดำเนินกิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อสมท รวมทั้งให้เช่าเวลาจัดรายการและโฆษณาทางสถานีวิทยุ FM 105.5 MHz และร่วมกับ บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินกิจการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิก

ตราสัญลักษณ์

พ.ศ. 2495 - พ.ศ. 2520

บจก.ไทยโทรทัศน์ ใช้ตราสัญลักษณ์ของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 เป็นตราสัญลักษณ์ของหน่วยงาน

พ.ศ. 2520 - พ.ศ. 2547

หลังการก่อตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย จึงเปลี่ยนสัญลักษณ์เป็นรูปวงกลม ภายในเป็นรูปคลื่นกระจายสัญญาณ โดยฝั่งบนมีสีที่กระจายอยู่ 3 สี คือ แดง เขียว น้ำเงิน และมีตัวอักษรคำว่า อ.ส.ม.ท. แบบโค้งสีดำ อยู่ฝั่งล่างพื้นหลังเป็นเหลือง ซึ่งอยู่ฝั่งล่าง แต่ในเอกสารจะใช้แบบโครงเส้น

พ.ศ. 2547 - ปัจจุบัน

หลังจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ก็ใช้สัญลักษณ์ของโมเดิร์นไนน์ทีวี มาเป็นสัญลักษณ์ประจำหน่วยงาน

ผู้บริหารองค์กร

ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดขององค์กรแห่งนี้ เรียกว่า ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ส่วนตำแหน่งผู้บริหารองค์กรนั้น มีการเปลี่ยนแปลงชื่อไปตามการแปรรูปองค์กร โดยในยุคแรกคือ บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด ใช้ชื่อตำแหน่งว่า กรรมการผู้จัดการ ต่อมาในยุค องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ใช้ชื่อตำแหน่งว่า ผู้อำนวยการ และในยุคปัจจุบันคือ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ใช้ชื่อตำแหน่งว่า กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ โดยที่ปรากฏต่อไปนี้ เป็นรายนามของผู้บริหารนับแต่ พ.ศ. 2520 จนถึงปัจจุบัน[2]

รายนามประธานคณะกรรมการ

บจก.ไทยโทรทัศน์อ.ส.ม.ท.

คณะกรรมการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2554 - ปัจจุบัน)

[3][4]


  • สรจักร เกษมสุวรรณ : ประธานกรรมการ และกรรมการอิสระ
  • ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ : รองประธานกรรมการ คนที่ 1 และกรรมการ
  • จักรพันธุ์ ยมจินดา : รองประธานกรรมการ คนที่ 2 และกรรมการอิสระ
  • เอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ : กรรมการอิสระ
  • ประเสริฐ เกษมโกเมศ : กรรมการอิสระ และกรรมการกลั่นกรองงานบริหาร
  • เข็มชัย ชุติวงศ์ : กรรมการอิสระ
  • สุธรรม ศิริทิพย์สาคร : กรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ
  • เปรมกมลย์ ทินกร ณ อยุธยา : กรรมการอิสระ และประธานกรรมการตรวจสอบ
  • บุญธรรมมันพัน พิกุลศรี : กรรมการอิสระ
  • พลตำรวจเอกภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา : กรรมการอิสระ
  • ญาใจ พัฒนสุขวสันต์ : กรรมการ
  • สุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ : กรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ


รายนามกรรมการผู้จัดการ บจก.ไทยโทรทัศน์

รายนามผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท.

รายนามกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท

รายนามคณะผู้บริหารชุดปัจจุบัน (พ.ศ. 2555)

[5]


  • จักรพันธุ์ ยมจินดา : รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานโทรทัศน์[4]
  • สุระ เกนทะนะศิล : รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรม
  • เขมทัตต์ พลเดช : รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานการตลาดและการขาย
  • ดวงใจ มหารักขกะ : รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานข่าวและวิทยุ
  • ธนะชัย วงศ์ทองศรี : รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานบริหาร
  • กมลาสิริ อิศรางกูร ณ อยุธยา : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักผู้ตรวจการธุรกิจ
  • ชลิต ลายลิขิต : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักวิศวกรรมโครงข่าย
  • สมจิต ชินสมบูรณ์ : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักบริหารกลาง
  • สุทิศา เหลืองไพโรจน์ : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักบัญชีและการเงิน
  • พรชัย ปิยะเกศิน : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักสถาบันฝึกอบรม
  • ลภามาศ ตัณฑวรรธนะ : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักโทรทัศน์
  • กฤตพร พากเพียร : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักธุรกิจสื่อใหม่
  • ปรารถนา นันทรัตพันธุ์ : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักข่าวไทย
  • พลชัย วินิจฉัยกุล : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ประจำสำนักอำนวยการ
  • สุชาติ สิมากร : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ประจำสำนักอำนวยการ
  • อำพล ทรงจรินทร์ : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักตรวจสอบภายใน
  • สนามชัย กำจร : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักวิทยุ
  • นิ่มอนงค์ เย็นสบาย : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการขาย
  • มาลิน พลธีระเสถียร : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด
  • คณิต บุษบง : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักอำนวยการ
  • ช่อทิพย์ นรเศรษฐ์กุล : ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักทรัพยากรมนุษย์
  • เจษฎา พรหมจาต : หัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงิน
  • ทัศนาวดี ทองประเสริฐ : รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักเลขานุการบริษัท
  • สนธิ อิชยาวิโรจน์ : รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักกฎหมาย


คณะกรรมการตรวจสอบ

[4]
  • เปรมกมลย์ ทินกร ณ อยุธยา : ประธานกรรมการ
  • สุธรรม ศิริทิพย์สาคร : กรรมการ
  • สุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ : กรรมการ
  • ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักตรวจสอบภายใน (อำพล ทรงจรินทร์) : เลขานุการ

คณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทน

[4]
  • พลตำรวจเอกภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา : ประธานกรรมการ
  • บุญธรรม พิกุลศรี : กรรมการ
  • สุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ : กรรมการ
  • เลขานุการบริษัท : เลขานุการ


นายกฯเตรียมเปิดงาน60ปี ไทยโทรทัศน์35ปีอสมท

        น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงาน 60 ปี ไทยโทรทัศน์ 35 ปี อสมท โดยมีการเปิดตัวการปฏิบัติงานด้วยทีมข่าว Bird eye news ที่รายงานข่าวทางอากาศ จากทีมข่าวของสำนักข่าวไทย พร้อมกับมีการนำเสนอข่าวด้วยจอภาพขนาดใหญ่และวิดีโอวอลล์ ความยาว 20 เมตร ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของโลก เพื่อเป็นการปฏิบัติงานข่าวมีความทันสมัย ที่มีกระบวนการการผลิต การจัดเก็บข้อมูลและการรายงานข่าวแบบครบวงจร พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เดินชมบูธวิวัฒนาการของ อสมท ด้วย นอกจากนี้ ภายในงานมีปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อทิศทางโทรทัศน์ไทย โดย ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ และหัวข้อทิศทางเศรษฐกิจไทย โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ซึ่งมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ขณะที่ เวลา 11.30 น. นายกรัฐมนตรี จะบันทึกเทปโทรทัศน์ กล่าวคำปราศรัยเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลและในเวลา 14.000 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อยกระดับการศึกษาระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงศึกษาธิการ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล


         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 เม.ย. 55  ที่อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน 60 ปี ไทยโทรทัศน์ 35 ปี อสมท และเปิดตัวการปฏิบัติงานทีมข่าว Brid's Eye News สำนักข่าวไทย โดยมีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายจักรพันธุ์ ยมจินดา รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ
          โดยเมื่อเดินทางถึงอาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บริษัท อสมท จำกัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ชมการแสดงเพลง "ก้าวนี้เพื่อเธอ" จากเด็กในมูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเดินชมนิทรรศการ 60 ปี ไทยโทรทัศน์ 35 ปี อสมท พร้อมเขียนข้อความแสดงความยินดีบนบอร์ดอวยพร
          หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีกับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในโอกาสครบรอบ 60 ปี ไทยโทรทัศน์ 35 ปี อสมท และกล่าวเปิดตัวการปฏิบัติงานทีมข่าว Brid's Eye News สำนักข่าวไทย ว่า การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของพนักงานในบริษัททุก ๆ คน ที่ช่วยกันทำงานอย่างเข้มแข็ง ร่วมกันฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ โดยไม่ย่อท้อต่อปัญหา ในฐานะรัฐบาลผ่านกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ขอชื่นชมต่อการทำงานของทุกๆ คน
          น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวถึงสภาวะโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมิติของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม รวมถึงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลข่าวสารในการนำเสนอต่อสาธารณชน เพราะต้องการส่งเสริมให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างครอบคลุม ซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบที่เป็นความรู้มีพื้นฐานทางวิชาการ และวิทยาศาสตร์ มีเหตุและผลผ่านการนำเสนอของสื่อมวลชนและสื่อสาธารณะทุกประเภทอย่างกว้างขวาง ครบถ้วน รวดเร็ว และถูกต้อง
          นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ความท้าทายของสื่อมวลชนในปัจจุบัน ซึ่งมีขอบเขตในการทำงาน และต้องนำเสนอข้อมูลตามข้อเท็จจริง สื่อมวลชนต้องเข้าใจข้อเท็จจริง ทำการบ้านต่อข้อมูลให้มากขึ้น เพื่อการนำเสนอข้อมูล อย่างตรงไปตรงมา ถูกต้อง ไม่ลำเอียง สะท้อนปัญหาของสังคม ให้ผู้รับข้อมูลสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์และตัดสินใจ ทั้งนี้ สื่อมวลชนยุคใหม่ต้องมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี เพื่อการนำเสนอข่าวที่ทันต่อเหตุการณ์ และดึงดูดความสนใจ เพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้สอดคล้องกับสื่อแบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์
          นอกจากนั้น สื่อมวลชนไทยยังมีบทบาทหน้าที่ที่จะสร้างความพร้อมให้กับประชาชนคนไทยให้มีความรู้ ความเข้าใจต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่กำลังก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนสู่การเป็นประชาคมอาเซียนแปลง รวมถึงการเผยแพร่ความรู้ ทักษะวิชาชีพ วัฒนธรรมประเพณี ภาษาทั้งและภาษาอังกฤษ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้พัฒนาศักยภาพของตนเองและเพื่อการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีเปิดตัวการปฏิบัติงานด้วยทีมข่าว Brid's Eye News เป็นการรายงานข่าวทางอากาศทาง โดยสำนักข่าวไทย พร้อมให้เกียรตินั่งสัมภาษณ์ ณ โต๊ะข่าว บริเวณห้องออกอากาศ โดย มล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล เป็นพิธีกรสัมภาษณ์ ก่อนเดินทางกลับ